ผอ.ศวส. ห่วง ดื่มเหล้า แถมเสพกัญชาร่วม ทำออกฤทธิ์รุนแรงเสี่ยงก่อเหตุร้าย ซ้ำรอยสามีเมืองสุราษฎร์ ฆ่าภรรยาไม่รู้ตัว จี้รัฐเร่งออกกม. วางระบบควบปิดภาวะสุญญากาศ แนะประชาชนศึกษา แยกแยะ ไม่ตกเป็นเหยื่อการโฆษณา และวาทกรรมการเมืองหนุนเปิดกัญชาเสรี
จากกรณีสามีอายุ 37 ปี ใช้อาวุธปืนพกยิงภรรยาอายุ 44 ปี ภรรยาเสียชีวิต จากนั้นก็นอนฟุบหมดสติอยู่ข้างศพภรรยา ต่อมาตำรวจ สภ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี สอบปากคำผู้ต้องหาเบื้องต้นสารภาพว่า ตัวเองและภรรยาได้ไปร่วมงานมงคลสมรสของญาติ และกลับมานั่งดื่มสุรา ร่วมกับการสูบกัญชาต่อ ซึ่งจำได้เพียงว่า ภรรยาได้ห้ามไม่ให้สูบกัญชาแล้วบอกว่ามันแรง แต่หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีก ไม่รู้ว่ากลับมาบ้านได้อย่างไรและยิงภรรยาตอนไหน เพราะที่ผ่านมา ตนเองไม่เคยทำร้ายร่างกายภรรยาเลย นอกจากแค่ทะเลาะกันทั่วไป เบื้องต้นพนักงานสอบสวน แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ล่าสุด วันที่1สิงหาคม ศ.ดร.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย และขอใช้ข่าวนี้เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นถึงผลเสียของการใช้เหล้าและกัญชา ทั้งนี้ ในกัญชามีสาร THC เป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้การประสานการทำงานของประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว การรับรู้ระยะทาง และเวลา หรือประสาทสัมผัสบิดเบือนไป เช่น เห็นแสงสว่างจ้ากว่าปกติ หรือรู้สึกว่า เวลาผ่านไปช้ามาก เพิ่มความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจราจรในผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะหลังใช้กัญชา บางคนที่ใช้ปริมาณสูง อาจมีอาการตื่นตระหนก หวาดระแวง หลงผิด และประสาทหลอนได้ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ทำร้ายร่างกาย ทำลายข้าวของ หรือมีพฤติกรรมรุนแรงได้ นอกจากนี้ กัญชายังมีผลต่อร่างกาย ทำให้ใจสั่น หัวใจเต้นแรงหรือเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง ส่วนแอลกอฮอล์ก็เป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท มีผลต่อการทำงานของประสาทสมอง ทำให้ง่วงซึม กดการหายใจ และการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ มีอาการหูแว่วภาพหลอน และความคิดหลงผิดหวาดระแวงได้เช่นกัน
“การดื่มเหล้าและใช้กัญชาร่วมกันจะเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน ทำให้มีอาการเมาเหล้า และอาการเมากัญชารุนแรงมากกว่าการใช้สารตัวใดตัวหนึ่งชนิดเดียว จึงเกิดผลเสียต่อการทำงานของประสาทและสมอง ความคิดอ่าน ขาดความยับยั้งชั่งใจ มีพฤติกรรมและอารมณ์รุนแรงมากขึ้น การควบคุมตนเองเสียไป จึงทำให้เกิดอันตรายรุนแรงต่อร่างกายจนอาจถึงตายได้ หรือกระทำรุนแรงต่อผู้อื่นดังเช่นตัวอย่างในข่าวอันน่าสลดใจนี้ได้” ศ.ดร.พญ.สาวิตรี กล่าว
ศ.ดร.พญ.สาวิตรี กล่าวอีกว่า ประเทศไทยในปัจจุบัน ทั้งสุราและกัญชากลายเป็นสารเสพติดที่ถูกกฎหมายไปแล้ว ทำให้ประชาชนหาซื้อ และใช้สารทั้งสองชนิดนี้ได้ง่าย แม้แต่เด็ก นักเรียน หรือเยาวชน ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงทั้งต่อตัวผู้ใช้ ครอบครัว สังคม อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า สุราและกัญชาจะถูกจัดเป็น ยาเสพติดให้โทษ ตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม แต่ตัวมันเองก็ยังคงเป็นสารที่มีฤทธิ์เสพติดอยู่ และทำให้เกิดผลเสียหรือปัญหาตามมามากมาย ทั้งระยะสั้นดังที่กล่าวข้างต้น ส่วนระยะยาวจะส่งผลต่อสติปัญญา ความคิดอ่าน หากใช้เป็นประจำตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรมีกฎหมายและระบบควบคุมกัญชาอย่างรัดกุม รีบปิดช่องว่างสุญญากาศก่อนจะมี พ.ร.บ.กัญชา กัญชง บังคับใช้ หลักสำคัญคือไม่ควรปล่อยให้ใช้หรือเข้าถึงได้อย่างเสรี ขณะที่ประชาชนควรดูแลตนเอง งดหรือลดการใช้ทั้งสุราและกัญชา เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อสุขภาพเลย อ่านและวิเคราะห์สื่อหรือข้อมูลต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณา การตลาด และวาทกรรมทางสังคมหรือการเมืองที่สนับสนุนการเปิดเสรีกัญชา.
Comments